“กระชังปลาอัจฉริยะ”แก้ปัญหาประมงน้ำจืด

ประเทศไทยติดอันดับโลก 1 ใน 10 ของประเทศที่มีผลผลิตการประมงสูง และสร้างรายได้แก่ประเทศปีละกว่า 2.2 แสนล้านบาท

ปี 2560 ไทยมีผลิตผลจากการประมงทั้งสิ้น 2.43 ล้านตัน นับว่ามากที่สุดในกลุ่มอาเซียน โดยมาจากทะเล 1.28 ล้านตัน ได้จากการจับสัตว์น้ำจืด 189,100 ตัน มาจากการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง 552,070 ตัน และมาจากการเลี้ยงในน้ำจืด 414,050 ตัน ขณะที่ประมงน้ำจืดตามแม่น้ำ ลำคลอง หนองบึงต่าง ๆ และฟาร์มปลา แต่ชาวประมงน้ำจืดก็มักเผชิญอุปสรรคปัญหาจากภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สร้างความเสียหายและสูญเสียรายได้อยู่เสมอ จึงเป็นแรงบันดาลใจให้ 3 หนุ่มเมคเกอร์ จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ประกอบด้วย นายรักษ์ธนา ฟักนาค, นายปัญจวิชญ์ วัฒนภินันท์ชัย และ นายณัฐพงศ์ ศรีภิรมย์ ได้คิดค้นนวัตกรรม กระชังปลาอัจฉริยะ (Smart Fish Cage) โดยมี ผศ.เดชา วิไลรัตน์, รศ.ดร.ฉัตรชัย เนตรพิศาลวานิช และ ผศ.ดร.จักร กฤษณ์ ศุทธากรณ์ คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา ซึ่งผลงานชิ้นนี้ยังได้รับรางวัลชนะเลิศ Mahidol Engineering Maker Award 2019 ด้วย

หลุยส์-นายรักษ์ธนา นักศึกษาภาควิศวกรรมไฟฟ้า วิศวะมหิดล ในฐานะหัวหน้าทีม กล่าวถึงที่มาของนวัตกรรมกระชังปลาอัจฉริยะ (Smart Fish Cage) ว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อมและภัยพิบัติ ทำให้กระชังปลาหลายแห่งประสบปัญหาปลาน็อกน้ำ หรือการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศและสภาพอุณหภูมิอย่างรวดเร็ว เช่น ค่าความเป็นกรด-ด่าง (Ph) ไม่ได้มาตรฐาน, ความขุ่นของน้ำ และปริมาณออกซิเจนในน้ำ เป็นต้น ถึงแม้ว่าหน่วยราชการจะเข้ามาช่วยเหลือ แต่ก็ไม่สามารถป้องกันและควบคุมปัจจัยการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญได้ทันเวลา เราจึงเกิดแนวคิดที่จะสร้างเครื่องมือและระบบแจ้งเตือนก่อนเกิดเหตุ เพื่อช่วยเหลือชาวประมงไทย ให้เตรียมรับมือและตัดสินใจแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบกับปลาที่เลี้ยงอยู่ในกระชังได้ทันท่วงที

“คอนเซปต์ คือ จะนำเทคโนโลยีนวัตกรรมและการใช้ประโยชน์จากคลาวด์แพลตฟอร์ม (Cloud Platform) มาช่วยในการเก็บข้อมูลและการทำงานของอุปกรณ์ ทำให้กระชังปลามีความฉลาดอัจฉริยะสามารถแสดงผล สั่งการ เฝ้าระวัง และควบคุมการทำงานได้สะดวก ผ่านทางมือถือสมาร์ทโฟน”

กระชังปลาอัจฉริยะ ใช้ระยะเวลาในการวิจัยพัฒนาราว 6 เดือน โดยทั้งสามหนุ่มลงพื้นที่เก็บข้อมูลจากชาวประมงที่เลี้ยงปลาน้ำจืดในกระชังย่านจังหวัดสมุทรสงคราม เพื่อวิเคราะห์การเลือกใช้เซ็นเซอร์ให้เหมาะสม ใช้เงินลงทุนประมาณ 8,000 บาท การออกแบบให้ใช้งานง่าย มีหลักการทำงานไม่ซับซ้อน ใช้วัสดุอุปกรณ์ที่หาได้ง่าย ทำให้มีราคาถูก และชาวประมงยังสามารถทำได้ด้วยตนเอง ตอบโจทย์ผู้เลี้ยงปลาน้ำจืดในกระชังได้เป็นอย่างมีประสิทธิภาพ

ปั่น-นายปัญจวิชญ์ กล่าวถึงส่วนประกอบระบบอัจฉริยะว่า ได้รับการออกแบบและใช้วัสดุที่หาได้ง่ายและมีราคาไม่แพง ประกอบด้วย 1.ท่อพีวีซี ขนาด 2 นิ้ว ความยาว 1.5 เมตร จำนวน 2 ท่อน เพื่อใช้ติดตั้งอุปกรณ์เซ็นเซอร์ 2.เซ็นเซอร์และทรานส์ดิวเซอร์ เป็นเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิ, เซ็นเซอร์วัดความเป็นกรด-ด่าง, เซ็นเซอร์วัดระดับความสูงของน้ำ, เซ็นเซอร์วัดความขุ่นของน้ำ และอุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมต่อ (Solid State Relay) ระหว่างภาคควบคุมซึ่งเป็นส่วนวงจรอิเล็กทรอนิกส์ กับวงจรภาคไฟฟ้ากำลัง 3.สายสัญญาณหุ้มฉนวน (Coaxial) ชนิด 5 คอ ที่มีคุณสมบัติกันน้ำได้ดี 4.ไมโครคอนโทรลเลอร์ เป็นกล่องควบคุมใช้ในการประมวลผล และ 5.ซอฟต์แวร์ (ARDUINO, NETPIE และ LINE Notify) โดยแบ่งการแจ้งเตือนภัยออกเป็น 3 รูปแบบ คือ ระดับปกติ (Normal) ระดับเฝ้าระวัง (Warning) ระดับวิกฤติ (Emergency) ซึ่งหากค่าอยู่ในระดับเฝ้าระวัง หน่วยควบคุม หรือ MCU จะสั่งให้เพิ่มค่าออกซิเจนในน้ำโดยอัตโนมัติ

ณัฐ-นายณัฐพงศ์ กล่าวถึงวิธีการใช้งานว่า นำท่อพีวีซีที่ติดตั้งเซ็นเซอร์เรียบร้อยแล้ววางลงน้ำในแนวดิ่งลึก 1 เมตร เซ็นเซอร์จะทำการตรวจวัดค่าพารามิเตอร์ต่าง ๆ แล้วจึงส่งสัญญาณเข้า มายังกล่องควบคุม เพื่อทำการประมวลผล จากนั้นข้อมูลที่รวบรวมได้จะถูกบันทึกไว้บนคลาวด์ โดยใช้ระบบปฏิบัติการ NETPIE ก่อนจะแจ้งเตือนข้อความผ่านแอพพลิเคชั่น LINE Notify บนมือถือสมาร์ทโฟน ทำให้ผู้ใช้งานสามารถติดตามผลได้ตลอดเวลา ซึ่งรองรับทั้งระบบ Android และ IOS หรือหากผู้ใช้งานต้องการทราบค่าพารามิเตอร์ต่าง ๆ ก็สามารถดูได้บนเว็บเพจของ
NETPIE โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ในอนาคตยังวางแผนต่อยอดไปสู่การใช้ปัญญาประดิษฐ์ AI ด้วย

ผลงานชิ้นนี้ยังตอบสนองนโยบายภาครัฐ ที่มุ่งพัฒนาให้ประมงไทยเป็น Smart Farming Thailand 4.0 ที่มีประสิทธิภาพ ยั่งยืนและมั่นคงตามหลักสากล

ที่มา เดลินิวส์

Leave a Reply